วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2559

แบบฝึกหัด

Edit Posted by with No comments


แบบฝึกหัด 


จงอธิบายรูปแบบการโฆษณาบนเว็บดังนี้ พร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบ

1.การโฆษณาผ่านทางแบนเนอร์

                    แบนเนอร์ คือ รูปแบบหนึ่งของการโฆษณาบนเวิลด์ไวด์เว็บ เป็นการวางภาพโฆษณาลงไปบนหน้าเว็บแล้วทำไฮเปอร์ลิงก์กลับไปยังเว็บที่โฆษณา ด้วยจุดประสงค์เพื่อดึงดูดผู้เข้าชมให้เข้าไปยังเว็บไซต์ที่โฆษณานั้นผ่านการคลิก เว็บแบนเนอร์สร้างขึ้นจากไฟล์รูปภาพทั่วไปและอาจมีการใช้ภาพเคลื่อนไหว เสียง หรือวิดีโอมาผสมผสานเพื่อนำเสนอให้โดดเด่นมากที่สุด

2.การโฆษณาผ่านทางป๊อบอัพ

                    เป็นรูปแบบการโฆษณาประเภทหนึ่งที่มีอัตราการคลิดสูงกว่าป้ายโฆษณาทั่วโลก13 เท่า (ในช่วงปีพ.ศ.2546) นักการตลาดและโฆษณานิยมอย่างมากโดยมีลักษณะที่โฆษณาจะปรากฏขึ้นโดยอัตโนมัติอีกหน้าต่างหนึ่ง



3.ารโฆษณาผ่านทางอีเมลล์

                    จดหมายอิเล็กทรอนิกส์และจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้จดหมายข่าวอิเล็คทรอนิกส์ เปรียบเสมือนสิ่งพิมพ์ที่จัดทำโดยบริษัทหรือบุคคล เพื่อส่งไปยังผู้ที่ใช้ข้อมูลหรือที่อยู่ไปรษณีย์อิเล็คทรอนิกส์มาเป็นช่องทางที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่เป็นสมาชิกพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับหัวข้อประเด็นต่างๆ โดยผู้ที่ต้องการมีส่วนร่วมสามารถส่งข้อความไปยังคนกลางหรือส่งไปยังที่อยู่กลาง ซึ่งจะสามารถส่งข้อความดังกล่าวไปยังสมาชิกทุกคนโดยอตัโนมัต




4.การโฆษณาผ่านทาง URL

                    ฟรีค่าใช้จ่ายหรือค่าใช้จ่ายต่ำลงทะเบียนเพื่อโฆษณาการค้นหาต้องตรงกับในการลงทะเบียนมิฉะนั้นอาจจะค้นหาไม่พบมีข้อจำกัดในเรื่อง ลำดับเว็บไซต์กับความสนใจของผู้ใช้งาน




5.การโฆษณาผ่านห้องสนทนาและบล๊อก

                    การทำโฆษณาผ่านทางเว็บบอร์ดหรือห้องแชท กล่าวคือ ผู้สนทนาสามารถตอบโต้ระหว่างกันได้ในเวลาที่เกิดขึ้นจริง โดยไม่ต้องเผชิญหน้ากัน ดั้งนั้นห้องสนทนาจึงเป็นเครื่องมือสำหรับการโฆษณาไม่เเตกต่างจากเเบนเนอร์




 6.การโฆษณาผ่านเกมส์ออนไลน์

                    โฆษณา เป็นการประกาศสินค้าหรือบริการที่ต้องการให้ประชาชนโดยทั่วไปทราบ จุดมุ่งหมายก็เพื่อให้คนทั่วไปรู้จักสินค้าหรือการบริการนั้น ในอดีตการเริ่มต้นของการโฆษณาจะเป็นลักษณะของการร้องป่าวประกาศเชิญชวน ปัจจุบันการโฆษณาทำได้ตามสื่อต่างๆ เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ สื่อวิทยุ เป็นต้น โดยเจ้าของกิจการจะว่าจ้างบริษัทรับทำโฆษณา เพื่อทำการโฆษณาสินค้าและบริการในสื่อต่างๆ เช่น ป้ายโฆษณากลางแจ้งตามถนนสายหลัก ซึ่งเป็นสื่อที่ช่วยประหยัดงบประมาณได้และสามารถตอกย้ำตราสินค้าได้อีกทางหนึ่ง

วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2559

สรุปบทที่ 3

Edit Posted by with No comments
สรุปบทที่ 3


การสื่อสารข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Data Communications)

สรุปบทที่ 1

Edit Posted by with No comments
บทที่ 1
บทบาทการใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดการธุรกิจ



ความหมายและขอบเขตการจัดการธุรกิจ
       การบริการจัดการเป็นเทคนิคการทำงาน เป็นกระบวนการของวางแผนการจัดการ การกระตุ้น การควบคุมให้บรรลุจุดมุ่งหมายร่วมกัน โดยใช้ทรัพยากรบุคคล และ อื่นๆ

วัตถุประสงค์ขององค์กรทรัพยากร
1. คน (Man) เป็นทรัพยากรแรกที่ก่อให้เกิดการดำเนินงานภายในธุรกิจ ซึ่งนับรวมทั้ง ฝ่ายบริหาร
                   และฝ่ายปฎิบัติการ
2. เงินทุน (Money or Capital) คือสินทรัพย์ที่จะนำมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ อาจจะอยู่ในรูปของ
                    เงินสดหรือสินทรัพย์อื่น ๆ ก็ได้
3. วัตถุดิบหรืออุปกรณ์ (Material) คืออาจจะเป็นรูปของวัตถุดิบถ้าธุรกิจนั้นเป็นธุรกิจการผลิต
                    เช่น เครื่องจักรกล วัสดุ อะไหล่ต่าง ๆ หรืออาจใช้ในการดำเนินงานให้ประสบผลสำเร็จได้
4. ข้อมูล (Information) คือ สถิติ ข่าวสาร และข้อมูล ต่างๆ ทั้งหมดภายในและภายนอกองค์การที่สนับสนุน

ระดับผู้บริหารในองค์กร ( Manager Level ) แบ่งได้ 3 ระดับ ดังนี้
1.       ผู้บริหารระดับสูง (Top Manager) ดูแลกำหนดทิศทางขององค์กร ด้านวิสัยทัศน์ นโยบาย เป็นการวางแผนในระยะยาว จะใช้การตัดสินใจในระดับกลยุทธ์ (Strategic planning ) 
2.       ผู้บริหารระดับกลาง ( Middle Manager ) รับนโยบายจากผู้บริหารระดับสูงมาวางแผน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ จะใช้การตัดสินใจในระดับยุทธวิธี (Practical planning ) 
3.       ผู้บริหารระดับปฏิบัติการ (Operational Manager) รับผิดชอบดูแลควบคุมด้านการปฏิบัติงานรายวัน โดยรับแผนปฏิบัติมาจากผู้บริหารระดับกลาง จะใช้การตัดสินใจระดับปฏิบัติการ (Operational planning )  

ประเภทของผู้บริหารแบ่งตามหน้าที่งาน

1. ผู้บริหารการผลิต
2. ผู้บริหารการตลาด
3. ผู้บริหารการเงิน
4. ผู้บริหารทรัพยกรบุคคล
5. ผู็บริหารทั่วไป

วิวัฒนาการของการใช้คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ
                เทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ มีวิวัฒนาการมาเป็นระยะๆทั้งนี้เป็นผลมาจากการคิดค้นและปรับปรุงเทคโนโลยีที่มีอยู่ให้ทำงานดีขึ้น ดั้งนั้นการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในงานธุรกิจย่อมจะต้องขึ้นกับวามก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่มีอยู่ในขณะนั้น ซึ่งพัฒนาการการใช้คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจในที่นี้จำแนกตามแนวคิดของสคูลทิลและซัมเมอร์ ซึ่งแบ่งได้เป็น ยุค ดังนี้

1.) ยุคประมวลผลข้อมูลหรือยุคดีพี (Data Processing Era : DP Era)สามารถสรุปได้เป็น ประเด็นหลักๆ ได้ดังนี้
1.1) ลักษณะการใช้งานทั่วไป เป็นการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยงานด้านการประมวลผลข้อมูลหรือที่เรียกว่า ระบบประมวลผลรายการเปลี่ยนแปลง เป็นการใช้คอมพิวเตอร์ในการประมวลผลรายการธุรกิจที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เป็นการใช้คอมพิวเตอร์ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันเป็นจำนวนมากๆ
1.2) จุดมุ่งหมายของการใช้คอมพิวเตอร์ในยุคประมวลผลข้อมูลเพื่อช่วยลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ทั้งนี้เนื่องจากคุณสมบัติการประมวลผลที่ถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็วของคอมพิวเตอร์
1.3) รูปแบบของการประมวลผลข้อมูล ในระยะแรกมักจะทำงานแบบแบตซ์ แต่ในระยะต่อมามีแบบการทำงานแบบออนไลน์มากขึ้น โดยการประมวลผลแบบแบตซ์นั้นจะมีการรวบรวมข้อมูลจำนวนหนึ่งเพื่อรอประมวลผลในเวลาเดียวกัน ซึ่งต่างกับแบบออนไลน์ที่เมื่อมีข้อมูลเข้ามาจะถูกส่งเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อทำการประมวลผลทันที
1.4) เทคโนโลยีในยุคประมวลผลข้อมูล คอมพิวเตอร์ที่นิยมใช้ในยุคประมวลผลข้อมูลมักจะเป็นเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งหน่วยงานขนาดใหญ่โดยส่วนใหญ่จะใช้เมนเฟรมคอมพิวเตอร์เป็นหลักในการทำงาน นอกจากนั้นก็มี มินิคอมพิวเตอร์ซึ่งนิยมใช้กับองค์กรธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก
1.5) การบริหารจัดการงานคอมพิวเตอร์ องค์กรธุรกิจที่ใช้คอมพิวเตอร์ยุคประมวลผลข้อมูลเป็นลักษณะแบบรวมอำนาจ สำหรับองค์การขนาดใหญ่มักจะมีการจัดตั้งศูนย์คอมพิวเตอร์ หรืออาจจะเป็นฝ่ายคอมพิวเตอร์สำหรับองค์กรขนาดเล็กลงมา
1.6) การพัฒนาซอฟต์แวร์และระบบสารสนเทศในยุคประมวลผลข้อมูลซอฟต์แวร์สำเร็จเพื่อนำไปใช้งานมีน้อยมากจึงต้องพัฒนาขึ้นเองโดยเป็นหน้าที่ของศุนย์คอมพิวเตอร์ ซึ่งจะมีบุคลากรที่มีความรู้ ความชำนาญในภาษาคอมพิวเตอร์และการพัฒนาระบบงาน

2.) ยุคเทคโนโลยีสารสนเทศหรือยุคไอที
                1.) ลักษณะการใช้งานทั่วไป จากการที่มีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเกิดขึ้น ทำให้การใช้คอมพิวเตอร์แพร่หลายในวงกว้าง            
                2.) การประยุกต์ในงานด้านอื่นๆ ในปัจจุบันมีการประยุกต์คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจในด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่งานประมวลผลข้อมูลหรืองานที่เกี่ยวกับตัวเลขเท่านั้นได้แก่
                3.) ระบบสารสนเทศในธุรกิจ มีการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการจัดทำระบบสารสนเทศภายในหน่วยงาน ทั้งนี้เนื่องจากความสามารถในการประมวลผลที่ถูกต้องมีความแม่นยำสูง ซึ่งจะเป็นการใช้คอมพิวเตอร์ในการช่วยจัดการรายการค้าและข้อมูลที่เกิดจาดธุรกรรมต่างๆ
                4.) โปรแกรมสำเร็จรูป ในยุคนี้โปรแกรมสำเร็จรูปมากมายซึ่งมีการใช้งานอย่างแพร่หลายทั่วไป โดยที่ผู้ใช้ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมเหล่านั้น ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ความชำนาญ ผู้ใช้สามารถหาซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อมาใช้งานได้ในทันที
                5.) การบริหารจัดการคอมพิวเตอร์ หน่วยงานย่อยในธุรกิจมักมีเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลไว้ใช้งานภายในหน่วยงาน จะเป็นทั้งผู้ดูแลข้อมูลและอุปกรณ์ภายในงานของตน ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เกิดความคล่องตัวในการทำงานมากขึ้น

ลักษณะการใช้งานคอมพิวเตอร์ในธุรกิจ
                ถึงแม้ว่าแต่ละธุรกิจจะมีการแบ่งโครงสร้างขององค์กรที่แตกต่างกัน แต่การใช้งานคอมพิวเตอร์ก็ยังมีความคล้ายคลึงกันซึ่งสามารถจำแนกได้เป็น ลักษณะดังนี้
1.) การใช้คอมพิวเตอร์ในภารกิจหลักของธุรกิจ
                          การใช้งานลักษณะนี้เป็นการใช้ทำงานระดับองค์กรในงานหลักของธุรกิจโดยการประยุกต์กับงานด้านต่างๆภายในองค์กร ได้แก่ งานการขายและการตลาด งานเงินและการบัญชี งานการผลิต และงานบริหารทรัพยากรบุคคล เป็นต้น
2.) การใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานร่วมกัน
                การติดต่อสื่อสาร ซึ่งจะเป็นการถ่ายทอดข้อมูลและข่าวสารไปสู่สมาชิกในกลุ่ม
1.)        การปฏิสัมพันธ์ เป็นการติดต่อสื่อสารกลับไปกลับมาระหว่างเพื่อนร่วมงานหรือสมาชิกในกลุ่มคณะทำงาน
2.)        การตัดสินใจและการแก้ปัญหา จะเป็นการระดมความคิดของสมาชิกในกลุ่มเพื่อช่วยกันตัดสินใจหรือแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในธุรกิจ
3.) การใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานส่วนบุคคล
                เป็นการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยการทำงานของบุคลากรแต่ละคนในองค์กร เช่น
1.)        งานด้านการพิมพ์และจัดทำเอกสาร
2.)        งานด้านการจัดทำจดหมาย
3.)        งานด้านการคำนวณ
นอกจากที่กล่าวมามีงานอีกจำนวนมากที่สามารถประยุกต์คอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยผู้ใช้ในด้านอื่นๆ ทั้งนี้ขึ้นกับความจำเป็นและความสามารถในการประยุกต์ของแต่ละคน


การใช้สารสนเทศในระดับกลยุทธ์
                สารสนเทศที่ใช้ในระดับกลยุทธ์เพื่อตอบสนองผู้บริหารระดับสูง มักเป็นสารสนเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม ได้แก่ สารสนเทศเกี่ยวกับการลงทุน  การเพิ่มสัดส่วนตลาดเพื่อให้มีกำรากขึ้นสารสนเทศระดับกลยุทธ์มักเป็นสารสนเทศที่ช่วยผู้บริหารใช้ในการวางแผนระยะยาวซึ่งจะมีผลต่อการปฏิบัติงานในระดับกลาง และระดับล่างต่อไป
                1.) คุณลักษณะของสารสนเทศเพื่อการวางแผลกลยุทธ์
                                ผู้ใช้สารสนเทศในระดับกลยุทธ์ มักจะเป็นผู้บริหารระดับสูงมีหน้าที่รับผิดชอบต่อองค์กรในภาพรวมทั้งภายในและภายนอก ดังนั้นระดับกลยุทธ์มีคุณลักษณะ ประการต่อไปนี้
1.)        เป็นสารสนเทศที่มาจากทั้งภายในและภายนอกองค์กร
2.)        เป็นข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง
3.)        เป็นสารสนเทศที่ใช้ในการพยากรณ์หรือประมาณการ
4.)        เป็นสารสนเทศที่จัดทำในรูปเชิงสรุป
5.)        เป็นข้อมูลที่ทันสมัยและทันต่อเหตุการณ์
2.) แหล่งที่มาของสารสนเทศเพื่อการวางงแผลกลยุทธ์
                1.) สื่อสารมวลชน
                2.) การสำรวจหรือการวิจัยต่างๆ
                3.) สมาคมหรือสถาบันต่างๆ
                4.) การพูดคุยหรือพบปะสังสรรค์
                5.) ห้องสมุดหรือศูนย์บริการข้อมูล
                6.) การใช้บริการฐานข้อมูลเชิงพาณิช
                7.) อินเทอร์เน็ต
3.) การรวบรวมและจัดเก็บสารสนเทศเพื่อการวางแผนกลยุทธ์
                สำหรับการรวบรวมและจัดเก็บสารสนเทศในระดับกลยุทธ์มีได้ดังนี้
1.)        การบันทึกเทป
2.)        การทำกฤตภาค
3.)        การจัดทำเป็นดัชนี
4.) ตัวอย่างการสารสนเทศเพื่อการวางแผลกลยุทธ์
                                1.) กลยุทธ์ทางการเงิน เพื่อจัดทำแผนซึ่งจะใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานขององค์กรทั้งนี้เพื่อให้องค์สามารถจัดหาเงินทุนจากแหล่งต่างๆ ในต้นทุนที่ต่ำให้เพียงพอ
                                2.) การพยากรณ์ทางการเงินในระยะยาว เช่น ข้อมูลที่เกี่ยวกับการลงทุน ควรจะจัดหาทุนจากแหล่งใด จำนวนใด ข้อมูลต้นทุนของเงินที่จัดหามา ข้อมูลความเสี่ยงทางการเงินและควบคุมทุนในการลงทุน
                                3.) กลยุทธ์ทางการตลาด จุดมุ่งหมายก็เพื่อกำหนดแผนงานและนโยบายด้านการตลาดของกิจการ
5.) กลยุทธ์ทางการผลิต
ต้องคำนึงถึงแผนการลงทุนระยะยาวเกี่ยวกับการผลิต ได้แก่ การเลือกที่ตั้งโรงงานผลิต ความพร้อมและความสะดวกด้านสาธารณูปโภค ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ การเลือกสินค้าที่ผลิต เป็นต้น
6.) กลยุทธ์ทางทรัพยากรบุคคล
                                เป็นการจัดทำและรวบรวมสารสนเทศ เพื่อให้องค์กรมีบุคลากรที่มีคุณภาพมาทำงานในองค์กรในอนาคต ประกอบด้วยนโยบายการจ้างพนักงาน นโยบายเกี่ยวกับอัตราจ้างและค่าแรง นโยบายผลตอบแทนและสวัสดิการ เป็นต้น
การใช้สารสนเทศในระดับยุทธวิธี
                สารสนเทศในระดับยุทธวิธีประกอบด้วย ประเด็น คือ
                1.) คุณลักษณะของสารสนเทศเพื่อการวางแผนยุทธวิธี แบ่งออกเป็น 4 ประการ ดังนี้
1.)        คุณลักษณะของสารสนเทศเพื่อการวางแผนยุทธวิธีเป็นสารสนเทศที่จัดทำขึ้นเพื่อผู้บริหารระดับกลาง
2.)        สารสนเทศภายในจะเกิดจากข้อมูลระดับปฏิบัติการที่จัดทำ
3.)        เป็นลักษณะเปรียบเทียบเพื่อใช้ในการสนับสนุนผู้บริหาร
4.)        เป็นสารสนเทศที่มาจากทั้งภายในและภายนอกองค์กร

2.) แห่งที่มาและการจัดเก็บสารสนเทศเพื่อการวางแผนยุทธวิธี
1.             สารสนเทศทั้งภายในและภายนอกองค์กร สำหรับข้อมูลจากภายนอกองค์กรจะมีรายละเอียดเช่นเดียวกับสารสนเทศเพื่อการวางแผลกลยุทธ์ ส่วนข้อมูลภายในองค์กรมักมาจากข้อมูลในระดับปฏิบัติการ
2.             ข้อมูลด้านบุคลากร ได้แก่ ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของบุคลากร ประวัติการทำงาน การศึกษา อายุ อัตราค่าจ้าง เงินเดือน เป็นต้น
การใช้สารสนเทศในระดับปฏิบัติการ
                การใช้สารสนเทศในระบบปฏิบัติการนั้น มีวัตถุประสงค์ในการใช้สารสนเทศในการปฏิบัติงานระดับล่างโดยแบ่งเป็นประเด็นต่อไปนี้
                1.) คุณลักษณะของสารสนเทศสำหรับแผนปฏิบัติการ
                                จุดประสงค์ของการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อเป็นการนำแผนยุทธวิธีมาขยายขั้นตอนและรายละเอียดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายแผนยุทธวิธี ผู้ที่จัดทำแผนปฏิบัติการคือผู้บริหารระดับล่าง ได้แก่ หัวหน้างาน หัวหน้าแผนก
                2.) แหล่งที่มาของสารสนเทศสำหรับแผนปฏิบัติการ
 สำหรับแหล่งที่มาของสารสนเทศสำหรับแผนปฏิบัติการจะมาจากภายในองค์กรในระดับปฏิบัติที่เกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจโดยการเก็บรวบรวมรายการค้าที่เกิดขึ้นประจำวันของธุรกิจ
               3.) การเก็บรวบรวมข้อมูล
การเก็บรวบรวมจะเป็นการเก็บรวบรวมในรูปของการใช้คอมพิวเตอร์จัดเก็บข้อมูล ซึ่งอาจจะเป็นแฟ้มข้อมูลหรือฐานข้อมูล เพื่อใช้ในการปฏิบัติงาน
               4.) ตัวอย่างการใช้สารสนเทศในการวางแผนปฏิบัติการ
1.             สำหรับงานขายและการตลาด
2.             สำหรับงานบัญชีและการเงิน
3.             สำหรับงานผลิต
การใช้คอมพิวเตอร์กับการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ
                คอมพิวเตอร์สามารถช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานในองค์กรธุรกิจเพื่อผลประโยชน์ทางการสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจได้ 3 ลักษณะ
                1.) คอมพิวเตอร์กับการปรับปรุงประสิทธิผลของงานและการลดต้นทุนในการดำเนินงาน
                2.)การใช้คอมพิวเตอร์กับการปรับปรุงคุณภาพและลักษณะของสินค้าและบริการ
                3.) คอมพิวเตอร์กับการปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานและสภาพแวดล้อมในการทำงาน


                               

แบบฝึกหัดบทที่ 4

Edit Posted by with No comments
แบบฝึกหัดบทที่ 4 


1. ข้อมูลและสารสนเทศต่างกันอย่างไร
ตอบ ข้อมูล (data) คือ  ข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดของสิ่งที่เราสนใจ  เช่น ตัวเลข  ข้อความ  ภาพ  เสียง และ วิดีทัศน์

สารสนเทศ (information) หมายถึง  ข้อมูลที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้  เพราะได้ผ่านการประมวลผลด้วยวิธีการที่เหมาะสมและถูกต้อง  เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตรงตามความต้องการของผู้ใช้

2. ระบบสารสนเทศทางธุรกิจคืออะไร มีบทบาทอย่างไรต่อองค์กรหรือภาคธุรกิจ จงอธิบาย
ตอบ   ระบบสารสนเทศทางธุรกิจ (business information systems) เป็นระบบสารสนเทศที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อสนับสนุนให้การดำเนินงานของธุรกิจให้ดำเนินการอย่างเป็นระบบ โดยถูกออกแบบและพัฒนาให้ปฏิบัติงานตามหน้าที่ทางธุรกิจ ตลอดจนช่วยส่งเสริมให้ทั้งองค์การ สามารถประสานงานและใช้ข้อมูลร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพทั้งในระดับปฏิบัติงานและระดับบริหาร 
จำแนกระบบสารสนเทศตามหน้าที่ทางธุรกิจตามหน้าที่ดังต่อไปนี้
     1. ระบบสารสนเทศด้านการบัญชี (accounting information system)
     2. ระบบสารสนเทศด้านการเงิน (financial information system)
     3. ระบบสารสนเทศด้านการตลาด (marketing information system)
     4. ระบบสารสนเทศด้านการผลิตและการดำเนินงาน (production and operations information system)
     5. ระบบสารสนเทศด้านทรัพยากรบุคคล (human resource information system)
     ผู้บริหารต้องคำนึงถึงความสอดคล้องระหว่างการดำเนินธุรกิจ เทคโนโลยี และการตัดสินใจที่ต้องกระทำอย่างสอดคล้องกัน ปัจจุบันผู้บริหารต้องประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศและ การตัดสินใจทางธุรกิจขององค์การอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดวิสัยทัศน์และสร้างโอกาสในการประยุกต์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่องค์การ ผู้บริหารต้องสามารถจัดการกับเทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ 
3. วัตถุประสงค์ที่สำคัญที่ธูรกิจนำระบบสารสนเทศทางบัญชีและการเงินมาใช้เพื่อประโยชน์ทางด้านใด จงสรุปมาพอเข้าใจ
ตอบ  ระบบสารสนเทศด้านการบัญชี
ปัจจุบันงานของนักบัญชีมีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมอย่างมาก เนื่องจากเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยทำให้มีการพัฒนาชุดคำสั่งสำเร็จรูปหรือชุดคำสั่ง เฉพาะสำหรับช่วยในการเก็บรวบรวมและประมวลผลข้อมูล ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาและเพิ่มความถูกต้องในการทำงานแก่ผู้ใช้ ทำให้นักบัญชีมีเวลาในการปฏิบัติงานเชิงบริหารมากขึ้น เช่น การออกแบบและพัฒนาระบบงาน พัฒนาระบบงบประมาณและระบบข้อมูลสำหรับผู้บริหาร เป็นต้น โดยที่ระบบสารสนเทศด้านการบัญชี (accounting information systems) หรือที่เรียกว่า AIS จะเป็นระบบที่รวบรวม จัดระบบ และนำเสนอสารสนเทศทางการบัญชีที่ช่วยในการตัดสินใจแก่ผู้ใช้สารสนเทศทั้งภายในและภายนอกองค์การ โดยระบบสารสนเทศทางการบัญชีจะให้ความสำคัญกับสารสนเทศที่สามารถวัดได้ หรือ การประมวลผล เชิงปริมาณมากกว่าการแก้ปัญหาเชิงคุณภาพ
     ระบบสารสนเทศด้านการเงิน
ระบบการเงิน (financial system) เปรียบเสมือนระบบหมุนเวียนโลหิตของร่างกายที่สูบฉีดโลหิตไปยังอวัยวะต่าง ๆ เพื่อให้การทำงานของอวัยวะแต่ละส่วนเป็นปกติ ถ้าระบบหมุนเวียนโลหิตไม่ดี การทำงานของอวัยวะก็บกพร่อง ซึ่งจะส่งผลกระทบโดย ตรงต่อระบบร่างกาย ระบบการเงินจะเกี่ยวกับสภาพคล่อง (liquidity) ในการดำเนินงาน เกี่ยวข้องกับการจัดการเงินสดหมุนเวียน ถ้าธุรกิจขาดเงินทุน อาจก่อให้เกิดปัญหาขึ้นทั้งโดยตรงและทางอ้อม 
4. วัตถุประสงค์ที่สำคัญที่ธูรกิจนำระบบสารสนเทศทางตลาดและการขาย  เพื่อประโยชน์ทางด้านใด จงสรุปมาพอเข้าใจ
ตอบ ระบบสารสนเทศด้านการตลาดและการขาย

การตลาด (marketing) เป็นหน้าที่สำคัญทางธุรกิจ เนื่องจากหน่วยงานด้านการตลาดจะรับผิดชอบในการกระจายสินค้าและบริการไปสู่ลูกค้า ตั้งแต่การศึกษา และวิเคราะห์ความต้องการ การวางแผนและการสร้างความต้องการ ตลอดจนส่งเสริมการขายจนกระทั้งสินค้าถึงมือลูกค้า ปกติการตัดสินใจทางการตลาดจะเกี่ยวข้องกับการจัดส่วนประสมทางการตลาด (marketing mix) หรือ ส่วนประกอบที่ทำให้การดำเนินงานทางการตลาดประสบความสำเร็จ ซึ่งประกอบด้วยปัจจัยหลัก 4 ประการ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ (product) ราคา (price) สถานที่ (place) และการโฆษณา (promotion) หรือที่เรียกว่า 4Ps

5. ระบบทันเวลาพอดี (Just - In - Time : JIT) คืออะไร เหมาะสมกับธุรกิจประเภทใด และเป้าหมาย
ตอบ การผลิตแบบ Just In Time หรือ JIT  คือ การผลิตหรือการส่งมอบสิ่งของที่ต้องการ ในเวลาที่ต้องการ ด้วยจำนวนที่ต้องการ โดยใช้ความต้องการของลูกค้าเป็นเครื่องกำหนดปริมาณการผลิตและการใช้วัตถุดิบ ซึ่งหมายรวมถึงบุคคลากรในส่วนงานต่าง ๆ ที่ต้องการงานระหว่างทำ (Work In Process) หรือวัตถุดิบ (Raw Material) เพื่อให้เกิดการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้วัสดุคงคลังที่ไม่จำเป็นในรูปของวัตถุดิบ (Raw Material), งานระหว่างทำ (Work In Process) และสินค้าสำเร็จรูป (Finished Goods) กลายเป็นศูนย์ โดยวัตถุประสงค์ของการผลิตแบบทันเวลาพอดีคือ
1. ต้องการควบคุมวัสดุคงคลังให้อยู่ในระดับที่น้อยที่สุดหรือเท่ากับศูนย์ (Zero Inventory)
2. ต้องการลดเวลานำหรือระยะเวลารอคอยในกระบวนการผลิตให้น้อยที่สุดหรือเท่ากับศูนย์ (Zero Lead Time)
3. ต้องการขจัดปัญหาของเสียที่เกิดขึ้นจากการผลิตให้เป็นศูนย์ (Zero Failures)
4. ต้องการขจัดความสูญเปล่า

6. MRP คืออะไรเป็นระบบที่มีลักษณะอย่างไรเหมาะกับธุรกิจประเภทใด
ตอบ เป็นการวางแผนการผลิตและควบคุมวัตถุดิบที่อาศัยคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วย หรือเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นการวางแผนความต้องการตามช่วงเวลา (Time Phase Requirement Planning) MRP จะเกี่ยวข้องกับการจัดตารางการผลิต และควบคุมวัสดุคงคลัง โดยทำหน้าที่เป็นกลไกในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตารางการผลิต 
****** ลักษณะ
 1) ทำให้เกิดความมั่นใจว่ามีสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไว้ใช้อย่างพอเพียง เช่น วัตถุดิบส่วนประกอบและผลิตภัณฑ์ที่ได้วางแผนการผลิตไว้ และที่จะต้องจัดส่งให้ลูกค้า
2) ทำให้มีการคงไว้ซึ่งระดับการคงคลังในปริมาณที่ต่ำสุดตลอดเวลา
3) เพื่อการวางแผนการผลิตตารางการจัดส่งและการจัดซื้อ
7. HRIS ช่วยการดำเนินการของฝ่ายบุคลากร ได้อย่างไรบ้าง
ตอบ การวางแผน  การจ้างงาน  การพัฒนาและการฝึกอบรม ค่าจ้างเงินเดือน การดำเนินงานการวิจัย 
8. ระบบสารสนเทศมีส่วนช่วยในการติดต่อสื่อสารได้อย่างไร
ตอบ ด้านการศึกษา ด้านการแพทย์และสาธารณสุข  ด้านการเกษตรและอุตสาหกรรม   ด้านการเงินการธนาคาร  ด้านความมั่นคง  ด้านการคมนาคม
9. ข้อมูลภายนอกซึ่งเป็นปัจจัยมีผลต่อการบริหารการเงินของธุรกิจได้แก่อะไรบ้าง
ตอบ อัตราดอกเบี้ย , อัตราแลกเปลี่ยน , อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
10. ระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์คือ ระบบใด มีลักษณะอย่างไร และธุรกิจได้ประโยชน์อย่างไรบ้างจากระบบสารสนเทศเชิงกลยุทธ์
ตอบ ระบบคอมพิวเตอร์ ในระดับใดก็ตามขององค์การ สามารถเปลี่ยนแปลงวัตถุประสงค์ การดำเนินงาน ผลผลิต การบริการหรือความสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมต่างๆ ขององค์กร
ลักษณะสำคัญ 
สามารถเปลียนแปลงวิธีการทำธุรกิจของหน่วงงาน
ประโยชน์
เน้นการเพิ่มผลิตภาพของพนักงาน ปรับปรุงการทำงานเป็นทีม การสร้างสื่อ



วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2559

แบบฝึกหัดบทที่ 3

Edit Posted by with No comments
แบบฝึกหัดบทที่ 3

1. เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม ทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินธุรกิจและทำธุรกรรมได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อข้อมูลค่าทางธุรกิจมากมายให้แก่ภาคธุรกิจ จงยกตัวอย่างมูลค่าทางธุรกิจที่ได้รับจากการนำเทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคมมาใช้
        ตอบ  มูลค่าทางธุรกิจที่เกิดจากการนำเครือข่ายสื่อสารโทรคมนาคมมาใช้นั้น เราสามารถชี้ระบุลงไปได้ว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งจากการใช้อินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กซ์ทราเน็ต และเครือข่ายการสื่อสารโทรคมนาคมอื่นๆนั้น สามารถช่วยองค์กรลดต้นทุน ลดเวลาการดำเนินงาน การสนับสนุนระบบอีคอมเมิร์ช การทำงานร่วมกันบนเครือข่ายให้มีทิศทางที่ดีขึ้นการพัฒนากระบวนการปฏิบัติงานแบบออนไลน์ การแชร์ทรัพยากรใหม่ๆ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นผลประโยชน์ที่ได้รับจากการนำเครือข่ายการสื่อสารโทรคมนาคมมาประยุกต์ใช้ทั้งสิ้น และถือเป็นกลยุทธ์สำหรับขององค์กรที่ต้องค้นหาแนวทางใหม่ๆ ในการแข่งขันที่ครอบคลุมถึงตลาดภายในประเทศและตลาดโลก

2. จงสรุปความความท้าทายในการใช้อินเตอร์เน็ตสำหรับธุรกิจในยุคปัจจุบัน
        ตอบ  การขยายตัวของอินเทอร์เน็ต และเทคโนโลยีด้านเว็บต่างๆ นั้น ส่งผลให้ศูนย์ข้อมูลกลายเป็นเครื่องมือสำคัญ ในเชิงกลยุทธ์มากกว่าที่ผ่านมา ทั้งในแง่ของการเพิ่มผลผลิต การยกระดับกระบวนการทางธุรกิจ และการผลักดันธุรกิจสู่การเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ

3. สรุปความแตกต่างของเครือข่าย LAN, WAN, CAN, MAN มาให้พอเข้าใจ
       ตอบ  LAN เป็นระบบเครือข่ายที่ใช้งานอยู่ในบริเวณที่ไม่กว้างนัก     อาจใช้อยู่ภายในอาคารเดียวกันหรืออาคารที่อยู่ใกล้กัน การส่งข้อมูลสามารถทำได้ด้วยความเร็วสูง และมีข้อผิดพลาดน้อย ระบบเครือข่ายระดับท้องถิ่นจึงถูกออกแบบมาให้ช่วยลดต้นทุนและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน 
                 WAN ระบบเครือข่ายระดับประเทศ เป็นระบบเครือข่ายที่ติดตั้งใช้งานอยู่ในบริเวณกว้าง เช่น ระบบเครือข่ายที่ติดตั้งใช้งานทั่วโลก เป็นเครือข่ายที่เชื่อมต่อคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่อยู่ห่างไกลกันเข้าด้วยกัน อาจจะต้องเป็นการติดต่อสื่อสารกันในระดับประเทศ ข้ามทวีปหรือทั่วโลกก็ได้ ในการเชื่อมการติดต่อ
              MAN (Metropolitan Area Network) : ระบบเครือข่ายระดับเมือง  เป็นระบบเครือข่ายที่มีขนาดอยู่ระหว่าง Lan และ Wan เป็นระบบเครือข่ายที่ใช้ภายในเมืองหรือจังหวัดเท่านั้น การเชื่อมโยงจะต้องอาศัยระบบบริการเครือข่ายสาธารณะ จึงเป็นเครือข่ายที่ใช้กับองค์การที่มีสาขาห่างไกลและต้องการเชื่อมสาขาเหล่านั้นเข้าด้วยกัน เช่น ธนาคาร
                 CAN มีขนาดใหญ่สามารถเชื่อมต่อกันได้ในองค์กรต่างๆกันได้ เช่น มหาลัย สามารถเชื่อมต่อแผนกการเงิน หรืองานทะเบียนได้ 

4. จงอธิบายคำศัพท์ที่เกี่ยวกับการสื่อสารข้อมูลต่อไปนี้มาอย่างเข้าใจ
       ตอบ
4.1  Telecommunication  การติดต่อสื่อสารด้วยการรับส่งข้อมูลข่าวสารระหว่างตัวประมวลผล โดยผ่านสื่อกลางที่เชื่อมต้นทางและปลายทางที่ห่างกัน โดยใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หลายรูปแบบ ตามกฎเกณฑ์ หรือระเบียบวิธีการที่กำหนดขึ้นในแต่ละอุปกรณ์ 
4.2  Medium  เส้นทางทางกายภาพในการนำข้อมูลจากผู้ส่งไปยังผู้รับ ซึ่งถือว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญของการสื่อสารข้อมูล 
4.3  Protocol   ระเบียบวิธีการ มาตรฐาน หรือกฎเกณฑ์ในการติดต่อสื่อสาร ระหว่างกันของเครื่องมืออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ต่าง ๆ หรือ วิธีที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อการสื่อสารข้อมูล ซึ่งผู้ส่งข้อมูลจะต้องส่งข้อมูลในรูปแบบตามวิธีการสื่อสารที่ตกลงไว้กับผู้รับข้อมูล จึงจะสามารถสื่อสารข้อมูลกันได้ 
4.4  WWW  ครือข่ายที่เชื่อมต่อกันทั่วโลก เรามักเรียกย่อๆกันว่า เว็บ คือรูปแบบหนึ่งของระบบการเชื่อมโยงเครือข่ายข่าวสาร ใช้ในการค้นหาข้อมูลข่าวสารบน Internet จากแหล่งข้อมูลหนึ่ง ไปยังแหล่ง ข้อมูลที่อยู่ห่างไกล ให้มีความง่ายต่อการใช้งานมากที่สุด
4.5  Internet  การเชื่อมโยงเครือข่ายคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน ตามโครงการของอาร์ป้าเน็ต (ARPAnet = Advanced Research Projects Agency Network) เป็นหน่วยงานสังกัดกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ (U.S.Department of Defense - DoD) ถูกก่อตั้งเมื่อประมาณ ปีค.ศ.1960(พ.ศ.2503) และได้ถูกพัฒนาเรื่อยมา
4.6  Extra net  ระบบเครือข่ายซึ่งเชื่อมเครือข่ายของอินทราเน็ตเข้ากับระบบคอมพิวเตอร์ภายนอก หรือเชื่อมอินทราเน็ตกับอินทราเน็ตอีกที่หนึ่งเข้าด้วยกัน ลักษณะการทำงานจะเหมือนกันอินทราเน็ตแต่ว่าเชื่อมแต่ละที่ให้เข้าหากัน เพื่อจุดประสงค์การทำงานที่เพิ่มขึ้น เช่นการดูแลจัดการสำนักงานของบริษัทแต่ละสาขาเข้าด้วยกัน
4.7  File Transfer protocol  เป็นโปรโตคอลมาตรฐานในอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการแลกเปลี่ยนไฟล์ ระหว่างคอมพิวเตอร์บนอินเตอร์เน็ต คล้ายกับ Hypertext Transfer Protocol (HTTP) ที่ใช้ในการส่งเว็บเพ็จและไฟล์ที่เกี่ยวข้อง และ Simple Mail Transfer Protocol (SMPT) ที่ใช้ส่งผ่าน e-mail ซึ่ง FTP เป็นโปรโตคอลประยุกต์ที่ใช้โปรโตคอล TCP/IP โดย FTP ใช้ในการส่งไฟล์เว็บเพจจากแหล่งที่เก็บไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยแสดงฐานะเป็นเครื่องแม่ข่าย สำหรับทุกคนบนอินเตอร์เน็ต และนิยมใช้ในการ download โปรแกรมและไฟล์มายังเครื่องคอมพิวเตอร์จากเครื่องแม่ข่ายอื่น
4.8  Client / server       Client คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ไปร้องขอบริการและรับบริการอย่างใดอย่างหนึ่งจาก Server
                               server คือเครื่องคอมพิวเตอร์หรือระบบปฏิบัติการหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ทำหน้าที่ให้บริการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง 4.9  Web Brower คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ที่ผู้ใช้สามารถดูข้อมูลและโต้ตอบกับข้อมูลสารสนเทศที่จัดเก็บในหน้าเวบที่สร้างด้วยภาษาเฉพาะ เช่น ภาษาเอชทีเอ็มแอล ที่จัดเก็บไว้ที่เว็บเซอร์วิซหรือเว็บเซิร์ฟเวอร์หรือระบบคลังข้อมูลอื่น ๆ โดยโปรแกรมค้นดูเว็บเปรียบเสมือนเครื่องมือในการติดต่อกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่าเวิลด์ไวด์เว็บ
4.10 Router  เป็นอุปกรณ์ค้นหาเส้นทาง

5.  สื่อกลางข้อมูลแบบมีสายประกอบด้วยสายสัญญาณอะไรบ้าง
       ตอบ    แบบใช้สาย ได้แก่ แบบสายเกลียวคู่ (Twisted-pair wires) และ แบบสายเคเบิลร่วมแกน (Coaxial cable) และแบบสายเคเบิลใยแก้ว (Fiber optic) 

6.  สื่อกลางข้อมูลแบบไร้สายประกอบไปด้วยอะไรบ้าง
       ตอบ  แบบไร้สาย ได้แก่ คลื่นไมโครเวฟ (Microwave) คลื่นวิทยุ (Radio Wave) และแสงอินฟราเรด (Infrared)

7.  ผู้เรียนคิดว่าเครือข่ายสถาบันการศึกษา หรือ องค์กรที่สังกัดอยู่ประกอบไปด้วยเครือข่ายชนิดใดบ้าง
       ตอบ ระบบเครือข่ายแลน และ  ระบบเครือข่ายแคน  


8.  ยกตัวอย่างอุปกรณ์ในระบบแลน LAN ที่พบเห็นในองค์กรธุรกิจ มา 2 ตัวอย่างพร้อมบอกประโยชน์ที่ได้รับจากอุปกรณ์นั้นๆ
       ตอบ    ฮับ  ช่วยกระจ่ายสัญญาณอินเตอร์ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ในองค์กร
                      เราท์เตอร์  เราเตอร์ที่สามารถปล่อยสัญญาณไวไฟหรือไวท์เลซได้นั้นยังช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินสายนำสัญญาณและทำให้เกิดความสะดวกสบายในการใช้งาน นอกจากนั้นเราเตอร์ยังมีความปลอดภัยของข้อมูลที่ส่งผ่าน wireless อีกด้วย

9.  เครือข่ายอินเตอร์เน็ต เครือข่ายอินทราเน็ต และเครือข่ายเอ็กซ์ทราเน็ต มีความเหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร
      ตอบ  อินเทอร์เน็ต (Internet) เครือข่ายสาธารณะ
อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วโลก ซึ่งมีคอมพิวเตอร์เป็นล้านๆเครื่องเชื่อมต่อเข้ากับระบบและยังขยายตัวขึ้นเรื่อยๆทุกปี   อินเทอร์เน็ตมีผู้ใช้ทั่วโลกหลายร้อยล้านคน และผู้ใช้เหล่านี้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันได้อย่างอิสระ   โดยที่ระยะทางและเวลาไม่เป็นอุปสรรค     นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถเข้าดูข้อมูลต่าง ๆ  ที่ถูกตีพิมพ์ในอินเทอร์เน็ตได้   อินเทอร์เน็ตเชื่อมแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เข้าด้วยกันไม่ว่าจะเป็นองค์กรธุรกิจ มหาวิทยาลัย หน่วยงานของรัฐบาล หรือแม้กระทั่งแหล่งข้อมูลบุคคล องค์กรธุรกิจหลายองค์กรได้ใช้อินเทอร์เน็ตช่วยในการทำการค้า

อินทราเน็ต (Intranet) หรือเครือข่ายส่วนบุคคล
ตรงกันข้ามกับอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ตเป็นเครือข่ายส่วนบุคคลที่ใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต เช่น เว็บ, อีเมล, FTP เป็นต้น อินทราเน็ตใช้โปรโตคอล TCP/IP สำหรับการรับส่งข้อมูลเช่นเดียวกับอินเทอร์เน็ต ซึ่งโปรโตคอลนี้สามารถใช้ได้กับฮาร์ดแวร์หลายประเภท และสายสัญญาณหลายประเภท ฮาร์ดแวร์ที่ใช้สร้างเครือข่ายไม่ใช่ปัจจัยหลักของอินทราเน็ต แต่เป็นซอฟต์แวร์ที่ทำให้อินทราเน็ตทำงานได้ อินทราเน็ตเป็นเครือข่ายที่องค์กรสร้างขึ้นสำหรับให้พนักงานขององค์กรใช้เท่านั้น การแชร์ข้อมูลจะอยู่เฉพาะในอินทราเน็ตเท่านั้นหรือถ้ามีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับโลกภายนอกหรืออินเทอร์เน็ต องค์กรนั้นสามารถที่จะกำหนดนโยบายได้ ในขณะที่การแชร์ข้อมูลอินเทอร์เน็ตนั้นยังไม่มีองค์กรใดที่สามารถควบคุมการแลกเปลี่ยนข้อมูลได้

เอ็กส์ทราเน็ต (Extranet) หรือเครือข่ายร่วม
เอ็กส์ทราเน็ต (Extranet)เป็นเครือข่ายกึ่งอินเทอร์เน็ตกึ่งอินทราเน็ต กล่าวคือ เอ็กส์ทราเน็ตคือเครือข่ายที่เชื่อมต่อระหว่างอินทราเน็ตของสององค์กร ดังนั้นจะมีบางส่วนของเครือข่ายที่เป็นเจ้าของร่วมกันระหว่างสององค์กรหรือบริษัท การสร้างอินทราเน็ตจะไม่จำกัดด้วยเทคโนโลยี แต่จะยากตรงนโยบายที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลที่ทั้งสององค์กรจะต้องตกลงกัน เช่น องค์กรหนึ่งอาจจะอนุญาตให้ผู้ใช้ของอีกองค์กรหนึ่งล็อกอินเข้าระบบอินทราเน็ตของตัวเองหรือไม่ เป็นต้น การสร้างเอ็กส์ทราเน็ตจะเน้นที่ระบบการรักษาความปลอดภัยข้อมูล รวมถึงการติดตั้งไฟร์วอลล์หรือระหว่างอินทราเน็ตและการเข้ารหัสข้อมูลและสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ นโยบายการรักษาความปลอดภัยข้อมูลและการบังคับใช้

10. ยกตัวอย่างบริการบนเครือข่ายระบบอินเตอร์เน็ตที่ธุรกิจสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการจัดการธุรกิจมา 3 บริการ พร้อมบอกเหตุผลประกอบว่า นำมาประยุกต์ใช้อย่างไร
      ตอบ  การนำคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้ในงานด้านธุรกิจสายการบินที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น
- การตรวจดูตารางการบิน
- การจองตั๋วเครื่องบิน
- การยกเลิกเที่ยวบิน
- การสำรองที่นั่งล่วงหน้า


 การนำคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้ในงานด้านบันเทิงที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น
- การนำภาพยนตร์ออกมาฉาย
- การออกแบบและตัดต่อภาพ
- การควบคุมคุณภาพของเสียง
- การออกแบบท่าทางเต้น
- การโฆษณา

การนำคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้ในงานด้านอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เช่น
- การเพิ่มผลผลิตสินค้าให้มีปริมาณมากขึ้น และเพียงพอกับความต้องการของตลาด 
- ตรวจสอบคุณภาพของสินค้า
- การออกแบบการบรรจุหีบห่อให้สวยงาม