วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2559

สรุปบทที่ 1

Edit Posted by with No comments
บทที่ 1
บทบาทการใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดการธุรกิจ



ความหมายและขอบเขตการจัดการธุรกิจ
       การบริการจัดการเป็นเทคนิคการทำงาน เป็นกระบวนการของวางแผนการจัดการ การกระตุ้น การควบคุมให้บรรลุจุดมุ่งหมายร่วมกัน โดยใช้ทรัพยากรบุคคล และ อื่นๆ

วัตถุประสงค์ขององค์กรทรัพยากร
1. คน (Man) เป็นทรัพยากรแรกที่ก่อให้เกิดการดำเนินงานภายในธุรกิจ ซึ่งนับรวมทั้ง ฝ่ายบริหาร
                   และฝ่ายปฎิบัติการ
2. เงินทุน (Money or Capital) คือสินทรัพย์ที่จะนำมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ อาจจะอยู่ในรูปของ
                    เงินสดหรือสินทรัพย์อื่น ๆ ก็ได้
3. วัตถุดิบหรืออุปกรณ์ (Material) คืออาจจะเป็นรูปของวัตถุดิบถ้าธุรกิจนั้นเป็นธุรกิจการผลิต
                    เช่น เครื่องจักรกล วัสดุ อะไหล่ต่าง ๆ หรืออาจใช้ในการดำเนินงานให้ประสบผลสำเร็จได้
4. ข้อมูล (Information) คือ สถิติ ข่าวสาร และข้อมูล ต่างๆ ทั้งหมดภายในและภายนอกองค์การที่สนับสนุน

ระดับผู้บริหารในองค์กร ( Manager Level ) แบ่งได้ 3 ระดับ ดังนี้
1.       ผู้บริหารระดับสูง (Top Manager) ดูแลกำหนดทิศทางขององค์กร ด้านวิสัยทัศน์ นโยบาย เป็นการวางแผนในระยะยาว จะใช้การตัดสินใจในระดับกลยุทธ์ (Strategic planning ) 
2.       ผู้บริหารระดับกลาง ( Middle Manager ) รับนโยบายจากผู้บริหารระดับสูงมาวางแผน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ จะใช้การตัดสินใจในระดับยุทธวิธี (Practical planning ) 
3.       ผู้บริหารระดับปฏิบัติการ (Operational Manager) รับผิดชอบดูแลควบคุมด้านการปฏิบัติงานรายวัน โดยรับแผนปฏิบัติมาจากผู้บริหารระดับกลาง จะใช้การตัดสินใจระดับปฏิบัติการ (Operational planning )  

ประเภทของผู้บริหารแบ่งตามหน้าที่งาน

1. ผู้บริหารการผลิต
2. ผู้บริหารการตลาด
3. ผู้บริหารการเงิน
4. ผู้บริหารทรัพยกรบุคคล
5. ผู็บริหารทั่วไป

วิวัฒนาการของการใช้คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ
                เทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ มีวิวัฒนาการมาเป็นระยะๆทั้งนี้เป็นผลมาจากการคิดค้นและปรับปรุงเทคโนโลยีที่มีอยู่ให้ทำงานดีขึ้น ดั้งนั้นการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในงานธุรกิจย่อมจะต้องขึ้นกับวามก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่มีอยู่ในขณะนั้น ซึ่งพัฒนาการการใช้คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจในที่นี้จำแนกตามแนวคิดของสคูลทิลและซัมเมอร์ ซึ่งแบ่งได้เป็น ยุค ดังนี้

1.) ยุคประมวลผลข้อมูลหรือยุคดีพี (Data Processing Era : DP Era)สามารถสรุปได้เป็น ประเด็นหลักๆ ได้ดังนี้
1.1) ลักษณะการใช้งานทั่วไป เป็นการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยงานด้านการประมวลผลข้อมูลหรือที่เรียกว่า ระบบประมวลผลรายการเปลี่ยนแปลง เป็นการใช้คอมพิวเตอร์ในการประมวลผลรายการธุรกิจที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน เป็นการใช้คอมพิวเตอร์ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันเป็นจำนวนมากๆ
1.2) จุดมุ่งหมายของการใช้คอมพิวเตอร์ในยุคประมวลผลข้อมูลเพื่อช่วยลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ทั้งนี้เนื่องจากคุณสมบัติการประมวลผลที่ถูกต้อง แม่นยำ และรวดเร็วของคอมพิวเตอร์
1.3) รูปแบบของการประมวลผลข้อมูล ในระยะแรกมักจะทำงานแบบแบตซ์ แต่ในระยะต่อมามีแบบการทำงานแบบออนไลน์มากขึ้น โดยการประมวลผลแบบแบตซ์นั้นจะมีการรวบรวมข้อมูลจำนวนหนึ่งเพื่อรอประมวลผลในเวลาเดียวกัน ซึ่งต่างกับแบบออนไลน์ที่เมื่อมีข้อมูลเข้ามาจะถูกส่งเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อทำการประมวลผลทันที
1.4) เทคโนโลยีในยุคประมวลผลข้อมูล คอมพิวเตอร์ที่นิยมใช้ในยุคประมวลผลข้อมูลมักจะเป็นเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งหน่วยงานขนาดใหญ่โดยส่วนใหญ่จะใช้เมนเฟรมคอมพิวเตอร์เป็นหลักในการทำงาน นอกจากนั้นก็มี มินิคอมพิวเตอร์ซึ่งนิยมใช้กับองค์กรธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก
1.5) การบริหารจัดการงานคอมพิวเตอร์ องค์กรธุรกิจที่ใช้คอมพิวเตอร์ยุคประมวลผลข้อมูลเป็นลักษณะแบบรวมอำนาจ สำหรับองค์การขนาดใหญ่มักจะมีการจัดตั้งศูนย์คอมพิวเตอร์ หรืออาจจะเป็นฝ่ายคอมพิวเตอร์สำหรับองค์กรขนาดเล็กลงมา
1.6) การพัฒนาซอฟต์แวร์และระบบสารสนเทศในยุคประมวลผลข้อมูลซอฟต์แวร์สำเร็จเพื่อนำไปใช้งานมีน้อยมากจึงต้องพัฒนาขึ้นเองโดยเป็นหน้าที่ของศุนย์คอมพิวเตอร์ ซึ่งจะมีบุคลากรที่มีความรู้ ความชำนาญในภาษาคอมพิวเตอร์และการพัฒนาระบบงาน

2.) ยุคเทคโนโลยีสารสนเทศหรือยุคไอที
                1.) ลักษณะการใช้งานทั่วไป จากการที่มีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเกิดขึ้น ทำให้การใช้คอมพิวเตอร์แพร่หลายในวงกว้าง            
                2.) การประยุกต์ในงานด้านอื่นๆ ในปัจจุบันมีการประยุกต์คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจในด้านอื่นๆ ที่ไม่ใช่งานประมวลผลข้อมูลหรืองานที่เกี่ยวกับตัวเลขเท่านั้นได้แก่
                3.) ระบบสารสนเทศในธุรกิจ มีการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการจัดทำระบบสารสนเทศภายในหน่วยงาน ทั้งนี้เนื่องจากความสามารถในการประมวลผลที่ถูกต้องมีความแม่นยำสูง ซึ่งจะเป็นการใช้คอมพิวเตอร์ในการช่วยจัดการรายการค้าและข้อมูลที่เกิดจาดธุรกรรมต่างๆ
                4.) โปรแกรมสำเร็จรูป ในยุคนี้โปรแกรมสำเร็จรูปมากมายซึ่งมีการใช้งานอย่างแพร่หลายทั่วไป โดยที่ผู้ใช้ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมเหล่านั้น ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ความชำนาญ ผู้ใช้สามารถหาซื้อโปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อมาใช้งานได้ในทันที
                5.) การบริหารจัดการคอมพิวเตอร์ หน่วยงานย่อยในธุรกิจมักมีเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลไว้ใช้งานภายในหน่วยงาน จะเป็นทั้งผู้ดูแลข้อมูลและอุปกรณ์ภายในงานของตน ซึ่งวิธีนี้จะทำให้เกิดความคล่องตัวในการทำงานมากขึ้น

ลักษณะการใช้งานคอมพิวเตอร์ในธุรกิจ
                ถึงแม้ว่าแต่ละธุรกิจจะมีการแบ่งโครงสร้างขององค์กรที่แตกต่างกัน แต่การใช้งานคอมพิวเตอร์ก็ยังมีความคล้ายคลึงกันซึ่งสามารถจำแนกได้เป็น ลักษณะดังนี้
1.) การใช้คอมพิวเตอร์ในภารกิจหลักของธุรกิจ
                          การใช้งานลักษณะนี้เป็นการใช้ทำงานระดับองค์กรในงานหลักของธุรกิจโดยการประยุกต์กับงานด้านต่างๆภายในองค์กร ได้แก่ งานการขายและการตลาด งานเงินและการบัญชี งานการผลิต และงานบริหารทรัพยากรบุคคล เป็นต้น
2.) การใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานร่วมกัน
                การติดต่อสื่อสาร ซึ่งจะเป็นการถ่ายทอดข้อมูลและข่าวสารไปสู่สมาชิกในกลุ่ม
1.)        การปฏิสัมพันธ์ เป็นการติดต่อสื่อสารกลับไปกลับมาระหว่างเพื่อนร่วมงานหรือสมาชิกในกลุ่มคณะทำงาน
2.)        การตัดสินใจและการแก้ปัญหา จะเป็นการระดมความคิดของสมาชิกในกลุ่มเพื่อช่วยกันตัดสินใจหรือแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในธุรกิจ
3.) การใช้คอมพิวเตอร์ในการทำงานส่วนบุคคล
                เป็นการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยการทำงานของบุคลากรแต่ละคนในองค์กร เช่น
1.)        งานด้านการพิมพ์และจัดทำเอกสาร
2.)        งานด้านการจัดทำจดหมาย
3.)        งานด้านการคำนวณ
นอกจากที่กล่าวมามีงานอีกจำนวนมากที่สามารถประยุกต์คอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยผู้ใช้ในด้านอื่นๆ ทั้งนี้ขึ้นกับความจำเป็นและความสามารถในการประยุกต์ของแต่ละคน


การใช้สารสนเทศในระดับกลยุทธ์
                สารสนเทศที่ใช้ในระดับกลยุทธ์เพื่อตอบสนองผู้บริหารระดับสูง มักเป็นสารสนเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม ได้แก่ สารสนเทศเกี่ยวกับการลงทุน  การเพิ่มสัดส่วนตลาดเพื่อให้มีกำรากขึ้นสารสนเทศระดับกลยุทธ์มักเป็นสารสนเทศที่ช่วยผู้บริหารใช้ในการวางแผนระยะยาวซึ่งจะมีผลต่อการปฏิบัติงานในระดับกลาง และระดับล่างต่อไป
                1.) คุณลักษณะของสารสนเทศเพื่อการวางแผลกลยุทธ์
                                ผู้ใช้สารสนเทศในระดับกลยุทธ์ มักจะเป็นผู้บริหารระดับสูงมีหน้าที่รับผิดชอบต่อองค์กรในภาพรวมทั้งภายในและภายนอก ดังนั้นระดับกลยุทธ์มีคุณลักษณะ ประการต่อไปนี้
1.)        เป็นสารสนเทศที่มาจากทั้งภายในและภายนอกองค์กร
2.)        เป็นข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง
3.)        เป็นสารสนเทศที่ใช้ในการพยากรณ์หรือประมาณการ
4.)        เป็นสารสนเทศที่จัดทำในรูปเชิงสรุป
5.)        เป็นข้อมูลที่ทันสมัยและทันต่อเหตุการณ์
2.) แหล่งที่มาของสารสนเทศเพื่อการวางงแผลกลยุทธ์
                1.) สื่อสารมวลชน
                2.) การสำรวจหรือการวิจัยต่างๆ
                3.) สมาคมหรือสถาบันต่างๆ
                4.) การพูดคุยหรือพบปะสังสรรค์
                5.) ห้องสมุดหรือศูนย์บริการข้อมูล
                6.) การใช้บริการฐานข้อมูลเชิงพาณิช
                7.) อินเทอร์เน็ต
3.) การรวบรวมและจัดเก็บสารสนเทศเพื่อการวางแผนกลยุทธ์
                สำหรับการรวบรวมและจัดเก็บสารสนเทศในระดับกลยุทธ์มีได้ดังนี้
1.)        การบันทึกเทป
2.)        การทำกฤตภาค
3.)        การจัดทำเป็นดัชนี
4.) ตัวอย่างการสารสนเทศเพื่อการวางแผลกลยุทธ์
                                1.) กลยุทธ์ทางการเงิน เพื่อจัดทำแผนซึ่งจะใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงานขององค์กรทั้งนี้เพื่อให้องค์สามารถจัดหาเงินทุนจากแหล่งต่างๆ ในต้นทุนที่ต่ำให้เพียงพอ
                                2.) การพยากรณ์ทางการเงินในระยะยาว เช่น ข้อมูลที่เกี่ยวกับการลงทุน ควรจะจัดหาทุนจากแหล่งใด จำนวนใด ข้อมูลต้นทุนของเงินที่จัดหามา ข้อมูลความเสี่ยงทางการเงินและควบคุมทุนในการลงทุน
                                3.) กลยุทธ์ทางการตลาด จุดมุ่งหมายก็เพื่อกำหนดแผนงานและนโยบายด้านการตลาดของกิจการ
5.) กลยุทธ์ทางการผลิต
ต้องคำนึงถึงแผนการลงทุนระยะยาวเกี่ยวกับการผลิต ได้แก่ การเลือกที่ตั้งโรงงานผลิต ความพร้อมและความสะดวกด้านสาธารณูปโภค ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ การเลือกสินค้าที่ผลิต เป็นต้น
6.) กลยุทธ์ทางทรัพยากรบุคคล
                                เป็นการจัดทำและรวบรวมสารสนเทศ เพื่อให้องค์กรมีบุคลากรที่มีคุณภาพมาทำงานในองค์กรในอนาคต ประกอบด้วยนโยบายการจ้างพนักงาน นโยบายเกี่ยวกับอัตราจ้างและค่าแรง นโยบายผลตอบแทนและสวัสดิการ เป็นต้น
การใช้สารสนเทศในระดับยุทธวิธี
                สารสนเทศในระดับยุทธวิธีประกอบด้วย ประเด็น คือ
                1.) คุณลักษณะของสารสนเทศเพื่อการวางแผนยุทธวิธี แบ่งออกเป็น 4 ประการ ดังนี้
1.)        คุณลักษณะของสารสนเทศเพื่อการวางแผนยุทธวิธีเป็นสารสนเทศที่จัดทำขึ้นเพื่อผู้บริหารระดับกลาง
2.)        สารสนเทศภายในจะเกิดจากข้อมูลระดับปฏิบัติการที่จัดทำ
3.)        เป็นลักษณะเปรียบเทียบเพื่อใช้ในการสนับสนุนผู้บริหาร
4.)        เป็นสารสนเทศที่มาจากทั้งภายในและภายนอกองค์กร

2.) แห่งที่มาและการจัดเก็บสารสนเทศเพื่อการวางแผนยุทธวิธี
1.             สารสนเทศทั้งภายในและภายนอกองค์กร สำหรับข้อมูลจากภายนอกองค์กรจะมีรายละเอียดเช่นเดียวกับสารสนเทศเพื่อการวางแผลกลยุทธ์ ส่วนข้อมูลภายในองค์กรมักมาจากข้อมูลในระดับปฏิบัติการ
2.             ข้อมูลด้านบุคลากร ได้แก่ ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติของบุคลากร ประวัติการทำงาน การศึกษา อายุ อัตราค่าจ้าง เงินเดือน เป็นต้น
การใช้สารสนเทศในระดับปฏิบัติการ
                การใช้สารสนเทศในระบบปฏิบัติการนั้น มีวัตถุประสงค์ในการใช้สารสนเทศในการปฏิบัติงานระดับล่างโดยแบ่งเป็นประเด็นต่อไปนี้
                1.) คุณลักษณะของสารสนเทศสำหรับแผนปฏิบัติการ
                                จุดประสงค์ของการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อเป็นการนำแผนยุทธวิธีมาขยายขั้นตอนและรายละเอียดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายแผนยุทธวิธี ผู้ที่จัดทำแผนปฏิบัติการคือผู้บริหารระดับล่าง ได้แก่ หัวหน้างาน หัวหน้าแผนก
                2.) แหล่งที่มาของสารสนเทศสำหรับแผนปฏิบัติการ
 สำหรับแหล่งที่มาของสารสนเทศสำหรับแผนปฏิบัติการจะมาจากภายในองค์กรในระดับปฏิบัติที่เกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจโดยการเก็บรวบรวมรายการค้าที่เกิดขึ้นประจำวันของธุรกิจ
               3.) การเก็บรวบรวมข้อมูล
การเก็บรวบรวมจะเป็นการเก็บรวบรวมในรูปของการใช้คอมพิวเตอร์จัดเก็บข้อมูล ซึ่งอาจจะเป็นแฟ้มข้อมูลหรือฐานข้อมูล เพื่อใช้ในการปฏิบัติงาน
               4.) ตัวอย่างการใช้สารสนเทศในการวางแผนปฏิบัติการ
1.             สำหรับงานขายและการตลาด
2.             สำหรับงานบัญชีและการเงิน
3.             สำหรับงานผลิต
การใช้คอมพิวเตอร์กับการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ
                คอมพิวเตอร์สามารถช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานในองค์กรธุรกิจเพื่อผลประโยชน์ทางการสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจได้ 3 ลักษณะ
                1.) คอมพิวเตอร์กับการปรับปรุงประสิทธิผลของงานและการลดต้นทุนในการดำเนินงาน
                2.)การใช้คอมพิวเตอร์กับการปรับปรุงคุณภาพและลักษณะของสินค้าและบริการ
                3.) คอมพิวเตอร์กับการปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานและสภาพแวดล้อมในการทำงาน


                               

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น